คำพูดของคุณพ่อคุณแม่นั้น หากเต็มไปด้วยถ้อยคำแง่ลบ ประชดประชัน ตำหนิและติเตียน ก็ย่อมส่งผลต่อทัศนคติ ความคิด และความรู้สึกของลูกอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันนี้เราจึงได้นำคำพูดไม่ดีที่ไม่ควรเผลอใช้กับลูก เพราะอาจ ส่ ง ผ ล ร้ า ย ต่อลูกได้มากกว่าที่เราคิดฝากกันค่ะ
1. “ลูกเป็นคนเห็นแก่ตัวจังเลย”
บ่อยครั้งที่ลูกมักจะแสดงอาการหวงของเล่นของตัวเอง หวงขนมหรือของกินที่ตัวเองชอบ จนไม่ยอมแบ่งให้คนอื่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะมีเจตนาที่ดี ไม่อยากให้ลูก
มีพฤติกรรมเช่นนั้น จึงใช้วิธีตำหนิว่าลูกกำลังแสดงพฤติกรรมของคนเห็นแก่ตัว เพื่อหวังให้ลูกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่ธรรมชาติของเด็ก เขายังไม่ถึงวัยที่จะรู้และ
เข้าใจความหมายของคำดังกล่าว อาการหวงของเป็นเพียงการแสดงออกไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ดังนั้นแทนที่คุณพ่อคุณแม่จะพูดให้ลูกรู้สึกไม่ดีกับตัวเองแล้ว
ลองเปลี่ยนพูดคุยและอธิบายให้ลูกเข้าใจประโยชน์ของ แ บ่ ง ปั น ลองสอนลูกว่าเราสามารถ แ บ่ ง ปั น สิ่งนี้กับเพื่อนได้ และเพื่อนจะรู้สึกดีใจมากที่ลูกแบ่งให้ รวมถึงการทำให้ลูก
เห็นบ่อยๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ แ บ่ ง ปั น ให้กันได้เป็นเรื่องธรรมดา
2. “ลูกไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรอก”
อีกหนึ่งประโยคพูดที่ไม่ควรใช้กับลูกเป็นอย่างยิ่งก็คือการตัดสินว่า ‘ลูกไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น’ แม้จะดูเป็นคำพูดที่ ไ ร้ พิ ษ ภั ย แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อลูกพูดบางสิ่งออกมา เช่น
ห นู เ ก ลี ย ด แ ม่ หรือหนูไม่ชอบให้ที่พี่เล่นเกมเก่งกว่า แม้คุณจะรู้ดีว่าความจริงลูกอาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรปฏิเสธหรือเพิกเฉยต่อความรู้สึกและคำพูด
ที่ลูกแสดงออกมา เพราะอาจทำให้เด็กรู้ว่าเขาถูกเมิน ไม่มีคนเข้าใจ และไม่มีใครสนใจความรู้สึกจริงๆ ของเขาทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีถามเพื่อช่วยอธิบาย
ให้ลูกเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น เช่น ลู ก เ ก ลี ย ด คุ ณ แ ม่ หรือว่าลูกไม่พอใจที่คุณแม่ขัดใจกันแน่นะ แม่จะได้แก้ไขถูก หรือช่วยให้ลูกเลือกสะท้อนอารมณ์ของตัวเอง
เช่น ลูกไม่อยากให้พี่เล่นเกมเก่งหรือว่าหนูอยากให้พี่ช่วยสอนให้หนูเล่นเกมเก่งเหมือนกันมากกว่า
3. “ลูกไม่น่าเกิดมาเลย”
แม้จะโกรธหรือผิดหวังในตัวลูกมากแค่ไหน แต่ประโยคนี้ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะพูดออกมาให้ลูกได้ยิน เพราะนอกจากจะ ทำ ล า ย จิ ต ใ จ ของลูกอย่างมากแล้ว ยังเป็น บ า ด แ ผ ล
ที่จะติดอยู่ในใจลูกต่อไปอย่างแน่นอน
4. “เร็วๆ หน่อยสิ”
คุณพ่อคุณแม่ต้องเคยเผลอใช้คำพูดเร่งเร้าเช่นนี้กับลูกแน่ ยิ่งเวลาที่ต้องรีบออกจากบ้านไปโรงเรียน แล้วหันมาเจอลูกกำลังลีลาอยู่กับการกินข้าว เก็บของ และใส่รองเท้า
แต่แม้จะเร่งรีบขนาดไหนการเร่งหรือบอกให้ลูก “เร็วๆ หน่อย” ก็ไม่ควรใช้กับลูกมากนัก เพราะจะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้กังวล ลน และเร่งรีบจนทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย
แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถสามารถ ก ร ะ ตุ้ น ให้ลูกทำอะไรรวดเร็วขึ้นได้ด้วยวิธีการสนุกๆ เช่น เล่นแข่งใส่รองเท้า หรือเก็บของ มีกติกาว่าใครเสร็จก่อนชนะ เพื่อผลลัพธ์
คือการที่ลูกเร่งมือแต่สนุกและไม่ เ ค รี ย ด จนเกินไป
5. “เกิดอะไรขึ้นกับลูก ทำไมลูกทำแบบนี้”
จริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าคำพูดนี้เป็นการถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง หวังจะให้ลูกได้เล่าหรือระบายสิ่งที่อยู่ในใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกกลับหลีกเลี่ยง
ที่จะพูดคุยเมื่อโดนถามด้วยคำถามดังกล่าว เพราะเหมือนเป็นการถามนำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองทำผิด และมีถ้อยคำของความผิดหวังซ่อนอยู่ในคำถามหากคุณพ่อคุณแม่
อยากให้ลูกบอกเล่าเรื่องราวหรืออธิบายพฤติกรรมของตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นถามด้วยน้ำเสียงหรือถ้อยคำเชิงบวก เช่น คุณแม่อยากรู้ว่าลูกคิดอะไรถึงทำแบบนั้นเหรอคะ
หรือลูกพอจะบอกได้ไหมคะว่าวิธีของลูกได้ผลหรือเปล่า
6. “ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย”
ความรู้สึกกลัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมถึงเด็กๆ ที่ยังมีประสบการณ์ในชีวิตไม่มากพอที่จะเข้าใจอะไรหลายอย่างในโลก รวมถึงยังจัดการความรู้สึกกลัวของตัวเอง
ไม่ค่อยเป็นดังนั้น หากลูกกำลังกลัวอะไร การบอกลูกว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย” จึงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะอาจทำให้ลูกรู้สึกถูกเพิกเฉย และไม่มีวิธีที่จะรับมือ
กับความกลัวนั้น
ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายว่าทำไมลูกถึงไม่ควรกลัวสิ่งนั้น เช่น ทำไมลูกไม่ควรกลัวเวลาที่แม่ปิดไฟ เพราะห้องนอนของลูกปลอดภัย และคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
การปิดไฟนอนจะทำให้ลูกนอนหลับได้ดีกว่า หรือให้เวลาลูกได้ทำความรู้จักกับความกลัวของตัวเองบ้าง เช่น ลองปิดไฟแต่นั่งอยู่กับลูกสักครู่เพื่อให้ลูกใจเย็นและสงบลงได้ด้วยตัวเอง
อ้างอิง cnbc bestlifeonline